บางครั้งเราก็มองข้ามสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ไป
เพียงเพราะใช้เวลาสั้นๆ ในการตัดสินสิ่งนั้นว่า " ไร้สาระ "
หลายวันก่อน เพื่อนคนหนึ่งถามฉันว่า " ทำไมต้องมียางลบอยู่บนหัวดินสอ ? "
ฉันไม่ได้สนใจและใส่ใจกับคำถามนั้นสักเท่าไหร่
ฉันไม่ได้สนใจและใส่ใจกับคำถามนั้นสักเท่าไหร่
เพียงแค่รู้สึกว่าเป็นคำถามที่ไม่มีสาระอะไรเสียเลย
แต่ก็อดไม่ได้ที่จะตอบเล่นๆ ไปว่า " ก็คงมีเพื่อความสะดวกมั้ง
หรือไม่ก็ช่วยให้คนขี้ลืมที่ชอบวางยางลบไม่เป็นที่เป็นทางได้มียางลบ ใช้มั้ง "
หรือไม่ก็ช่วยให้คนขี้ลืมที่ชอบวางยางลบไม่เป็นที่เป็นทางได้มียางลบ ใช้มั้ง "
เพื่อนของฉันก็อมยิ้ม ก่อนที่จะตอบฉัน สั้นๆ ว่า " ไม่ใช่ "
" อ้าว. . ..งั้นเพราะอะไรล่ะ" ฉันอดที่จะถามไม่ได้
" อ้าว. . ..งั้นเพราะอะไรล่ะ" ฉันอดที่จะถามไม่ได้
ก็เพราะว่า " คนเราสามารถทำผิดกันได้ "
". . . . . . . . . . . . . . . . . .. " ฉันนิ่งไปครู่หนึ่ง
". . . . . . . . . . . . . . . . . .. " ฉันนิ่งไปครู่หนึ่ง
หลังจากที่ได้ยินคำตอบ และปล่อยให้เจ้าของคำถามเดินจากไป
โดยที่ไม่ได้อธิบายอะไรมากไปกว่าคำตอบสั้นๆ ของเขาเท่านั้น
คำถามของเพื่อนที่ฉันเคยมองว่ามันไร้สาระ
กลับทำให้ฉัน ได้เก็บมาคิดแทบทุกขณะที่สมองว่าง
กลับทำให้ฉัน ได้เก็บมาคิดแทบทุกขณะที่สมองว่าง
เย็นวันนั้น ฉันจึงหยิบโทรศัพท์เขียนข้อความส่งถึงเพื่อนๆ
ด้วยประโยคที่ซ้ำกัน. . .
ด้วยประโยคที่ซ้ำกัน. . .
" ทำไมต้องมียางลบอยู่บนหัวดินสอเพราะคนเรามีสิทธิ์ทำผิดกันได้
แต่จงจำไว้ว่า. .. ..เราไม่ควรใช้ยางลบให้หมดก่อนดินสอ
เพราะนั่นอาจหมายความว่า เรากำลังทำผิดซ้ำๆ จนความผิดนั้นอาจสายเกินแก้"
เพราะนั่นอาจหมายความว่า เรากำลังทำผิดซ้ำๆ จนความผิดนั้นอาจสายเกินแก้"
วันจันทร์ ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554
ทำไมรุ้งกินน้ำจึงเกิดตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ |
รุ้งกินน้ำ (อังกฤษ: Rainbow) เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นหลังจากฝนตก โดยเกิดขึ้นจากแสงแดดส่องผ่านละอองน้ำในอากาศ ทำให้แสงสีต่าง ๆ เกิดการหักเหขึ้น จึงเห็นเป็นแถบสีต่าง ๆ ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า รุ้งปฐมภูมิจะประกอบด้วยสีม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด และแดง โดยมีสีม่วงอยู่ชั้นในสุดและสีแดงอยู่ชั้นนอกสุด ส่วนรุ้งทุติยภูมิจะมีสีเช่นเดียวกันแต่เรียงลำดับในทิศทางตรงกันข้ามข้าม
- ลักษณะการเกิดรุ้งกินน้ำ
เราสามารถมองเห็นรุ้งกินน้ำได้เมื่อมีละอองน้ำในอากาศและมีแสงอาทิตย์ส่องมาจากด้านหลังของผู้สังเกตการณ์ในมุมที่สูงจากพื้นไม่มากนัก โดยส่วนใหญ่รุ้งกินน้ำจะปรากฏให้เห็นชัดเจนเมื่อท้องฟ้าส่วนมากค่อนข้างมืดครึ้มด้วยเมฆฝน ส่วนผู้สังเกตการณ์อยู่ในที่พื้นที่สว่างซึ่งมีแสงส่องจากดวงอาทิตย์ จะทำให้มองเห็นรุ้งกินน้ำพาดผ่านฉากหลังสีเข้ม
ปรากฏการณ์รุ้งกินน้ำยังอาจพบเห็นได้ในบริเวณใกล้กับน้ำตกและน้ำพุ หรืออาจสร้างขึ้นเองได้โดยการพ่นละอองน้ำไปในอากาศกลางแสงแดด รุ้งกินน้ำยังอาจเกิดจากแสงอื่นนอกจากแสงอาทิตย์ ในคืนที่แสงจันทร์มีความสว่างมากๆ อาจทำให้เกิดรุ้งกินน้ำก็ได้ เรียกว่า moonbow แต่ภาพรุ้งที่เกิดขึ้นจะค่อนข้างจางมองเห็นได้ไม่ชัด และมักมองเห็นเป็นสีขาวมากกว่าจะเห็นเป็นเจ็ดสี
การถ่ายภาพวงโค้งสมบูรณ์ของรุ้งกินน้ำทำได้ยาก เพราะจำเป็นต้องกระทำในมุมมองประมาณ 84° ถ้าใช้กล้องถ่ายภาพแบบปกติ (35 mm) จะต้องใช้เลนส์ขนาดความยาว 19 mm หรือเลนส์ไวด์แองเกิลจึงจะใช้ได้ ถ้าผู้สังเกตการณ์อยู่บนเครื่องบิน อาจมีโอกาสมองเห็นรุ้งกินน้ำแบบเต็มวงได้ โดยมีเงาของเครื่องบินอยู่ที่ศูนย์กลางวง
- การเกิดรุ้งกินน้ำมีปรากฏการชองคลื่นแสงมาเกี่ยวข้อง 2 อย่างคือ
1. การหักเหของแสง เนื่องจากผิวหน้าของละอองน้ำที่สะท้อนแสงไม่ขนานกัน แสงที่มีความถี่ไม่เท่ากันจะมีมุมหักเหต่างกันไปด้วย ทำให้เกิดการแยกออกเป็นแสงสีต่างๆ ตามสเปกตรัมของแสง
2. การสะท้อนกลับหมด เมื่อแสงที่ผ่านเข้ามาในละอองน้ำมีค่ามากกว่ามุมวิกฤติ (critical angle) ทำให้เกิดการสะท้อนกลับหมดภายในหยดละอองน้ำ เราจึงเห็นเสมือนหยดน้ำสะท้อนแสงอาทิตย์อีกที ซึ่งก็คืออยู่ด้านตรงข้ามกับดวงอาทิตย์นั่นเอง
"อธิบายได้ว่า ขณะที่เราอยู่ตรงกลางหันหลังให้พระอาทิตย์ (พระอาทิตย์อยู่ด้านหลังเรา ) รุ้งกินน้ำอยู่ข้างหน้าเรา หลังจากฝนตกไม่นาน ยังมีละอองน้ำอยู่ในอากาศเป็นเม็ดกลมๆ เหนือท้องฟ้า พระอาทิตย์ส่องแสงไปกระทบเม็ดกลมละอองน้ำ แสงจะหักเหเป็นมุมประมาณ40-42 องศา สะท้อนกลับมาเข้าลูกตาเราครบทุกสี เห็นเป็นภาพรุ้งโค้งๆถึงครึ่งวงกลม คือ ม่วงครามน้ำเงินเขียวเหลืองแสดแดง เรียงจากบนลงล่างเรียกปฐมภูมิ"
วันอังคาร ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554
ทำไมท้องฟ้าจึงเป็นสีฟ้า |
ท้องฟ้าเป็นสีฟ้านั้นเกิดจากการกระเจิงแสงของโมเลกุลในชั้บรรยากาศ ของโลก โดยเมื่อแสงขาวจากแสงแดดผ่านเข้ามายังชั้นบรรยากาศของโลกจะกระทบกับโมเลกุลแก๊ส และเกิดการกระเจิงแสงของโมเลกุล
เมื่อลำแสงจากดวงอาทิตย์ ผ่านบรรยากาศเข้ามาตรงศีรษะ หรือเกือบตรงศีรษะ แสงที่เดิมทีเป็นสีขาวก็แยกตัวออกด้วยการกระเจิงกลายเป็นมีสีฟ้ามากกว่าสีอื่นๆ เพราะโมเลกุลของก๊าซในบรรยากาศของเราจะกระเจิงแสงสีฟ้าได้ดีกว่า โดยเฉพาะโมเลกุลของก๊าซอ๊อกซิเจน และไนโตรเจน จะกระเจิงแสงสีฟ้าได้ดีกว่าสีแดงที่มีความยาวคลื่นมากกว่าสีฟ้า แสงที่มีความยาวคลื่นสั้นกว่าจะกระเจิง (Scattering) ได้ดีในชั้นบรรยากาศ
สียิ่งมีความยาวคลื่นสั้นก็ยิ่งจะกระเจิงแสงได้ดี และแสงสีฟ้านี่เองกระเจิงได้มากถึง 10 เท่าของสีแดง และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมท้องจึงเป็นสีฟ้า
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแสงสีม่วงจะกระเจิงได้ดีกว่าแสงสีฟ้า ถึง 16 เท่า แต่เรตินาของคนเรา มีประสาทรับแสงที่ไวต่อแสงสีฟ้ามากกว่าสีม่วง ทำให้เรามองไม่ค่อยเห็นส่วนที่เป็นสีม่วง แต่จะเห็นสีฟ้ามากกว่าในเวลากลางวัน
ถึงตรงนี้ หลายคนคงสงสัยด้วยว่า แล้วในเวลาเย็นท้องฟ้าถึงเปลี่ยนสีกลายเป็นสีส้มๆ แดงๆ
นั่นเป็นเพราะในเวลาเย็นหรือเช้า แสงจะเข้ามาเฉียงๆ เป็นมุมทแยงกับพื้นโลก และต้องผ่านบรรยากาศหนาขึ้นมากกว่าเวลาที่พระอาทิตย์ตรงศีรษะ และกว่าจะเดินทางถึงตาเรา แสงสีฟ้าส่วนใหญ่จะกระเจิงออกไปหมด ส่วนหนึ่งจะหายไปในอวกาศ ทำให้แสงที่เหลือ ซึ่งเป็นพวกสีส้มสีแดงมีอิทธิพลมากขึ้นมาเรื่อยๆ เมื่อเวลาเย็นลง ท้องฟ้าก็จะเริ่มเปลี่ยนสีไปทางสีส้มมากขึ้น
เมื่อลำแสงจากดวงอาทิตย์ ผ่านบรรยากาศเข้ามาตรงศีรษะ หรือเกือบตรงศีรษะ แสงที่เดิมทีเป็นสีขาวก็แยกตัวออกด้วยการกระเจิงกลายเป็นมีสีฟ้ามากกว่าสีอื่นๆ เพราะโมเลกุลของก๊าซในบรรยากาศของเราจะกระเจิงแสงสีฟ้าได้ดีกว่า โดยเฉพาะโมเลกุลของก๊าซอ๊อกซิเจน และไนโตรเจน จะกระเจิงแสงสีฟ้าได้ดีกว่าสีแดงที่มีความยาวคลื่นมากกว่าสีฟ้า แสงที่มีความยาวคลื่นสั้นกว่าจะกระเจิง (Scattering) ได้ดีในชั้นบรรยากาศ
สียิ่งมีความยาวคลื่นสั้นก็ยิ่งจะกระเจิงแสงได้ดี และแสงสีฟ้านี่เองกระเจิงได้มากถึง 10 เท่าของสีแดง และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมท้องจึงเป็นสีฟ้า
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแสงสีม่วงจะกระเจิงได้ดีกว่าแสงสีฟ้า ถึง 16 เท่า แต่เรตินาของคนเรา มีประสาทรับแสงที่ไวต่อแสงสีฟ้ามากกว่าสีม่วง ทำให้เรามองไม่ค่อยเห็นส่วนที่เป็นสีม่วง แต่จะเห็นสีฟ้ามากกว่าในเวลากลางวัน
ถึงตรงนี้ หลายคนคงสงสัยด้วยว่า แล้วในเวลาเย็นท้องฟ้าถึงเปลี่ยนสีกลายเป็นสีส้มๆ แดงๆ
นั่นเป็นเพราะในเวลาเย็นหรือเช้า แสงจะเข้ามาเฉียงๆ เป็นมุมทแยงกับพื้นโลก และต้องผ่านบรรยากาศหนาขึ้นมากกว่าเวลาที่พระอาทิตย์ตรงศีรษะ และกว่าจะเดินทางถึงตาเรา แสงสีฟ้าส่วนใหญ่จะกระเจิงออกไปหมด ส่วนหนึ่งจะหายไปในอวกาศ ทำให้แสงที่เหลือ ซึ่งเป็นพวกสีส้มสีแดงมีอิทธิพลมากขึ้นมาเรื่อยๆ เมื่อเวลาเย็นลง ท้องฟ้าก็จะเริ่มเปลี่ยนสีไปทางสีส้มมากขึ้น
ท้องฟ้าหรือโลกเรามีออกซิเจน ธาตุทุกชนิดมีสีคือสิ่งที่วัสดุดูดกลืนไปไม่ได้ สิ่งใดใส สิ่งนั้นแสงจะผ่านได้ สิ่งใดสะท้อนได้ ก็จะเห็นเป็นสี 7 สีที่เห็นกับสิ่งของต่างๆ เกิดจากของดูดกลืน สีได้ต่างกัน ท้องฟ้า ประกอบด้วย ไนโตรเจน ออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์และอื่นๆ
ส่วนไหนของเมือง มีออกซิเจนมาก จะเห็นว่ามีสีใส และสีฟ้า แต่ถ้า คาร์บอน มาก จะมองว่าขาวมัว ท้องฟ้าสีฟ้า จึงเป็นไปได้ที่สุดว่าเกิดจาก ออกซิเจน ในอากาศมาก ซึ่งถ้ายิ่งสูงออกซิเจนจะเป็นโอโซนซึ่งจะทำให้สี ฟ้าสดใสยิ่งขึ้น
ส่วนไหนของเมือง มีออกซิเจนมาก จะเห็นว่ามีสีใส และสีฟ้า แต่ถ้า คาร์บอน มาก จะมองว่าขาวมัว ท้องฟ้าสีฟ้า จึงเป็นไปได้ที่สุดว่าเกิดจาก ออกซิเจน ในอากาศมาก ซึ่งถ้ายิ่งสูงออกซิเจนจะเป็นโอโซนซึ่งจะทำให้สี ฟ้าสดใสยิ่งขึ้น